วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

การยิ้ม


ยิ้มเปรียบเสมือนภาษาสากล ไม่ ว่าคนเราจะเดินทางไปไหน ณ มุมไหนของโลก หรืออยู่ในสถานที่ที่มีข้อกีดขวางทางวัฒนธรรมและภาษา ยิ้มสามารถใช้เป็นภาษาที่สื่อสารและเข้าใจง่ายมากที่สุด เป็นภาษาที่ไม่ต้องการคำอธิบาย ไม่ต้องอาศัยเวลาเล่าเรียน ฝึกฝน เพราะทุกคนต่างเข้าใจความหมายแง่บวกที่สื่อออกไปแน่นอน



วัฒนธรรมการแต่งกายของคนไทย


การแต่งกายของไทย

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมประจำชาติที่เป็นของตนเองมาเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นศิลปะไทย มารยาทไทย ภาษาไทย อาหารไทย และชุดประจำชาติไทย
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนมีคุณค่า มีความงดงามบ่งบอกถึงเอกลักษณ์แห่งความเป็น "ไทย" ที่นำความภาคภูมิใจมาสู่คนในชาติ 
           การแต่งกายของไทยโดยเฉพาะในยุครัตนโกสินทร์ซึ่งมีอายุยาวนานมากกว่า 200 ปีนั้น ได้มีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับ

นับตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ตอนกลาง ยุคเริ่มการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศ ยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือ ยุค "มาลานำไทย" และ จนปัจจุบัน "ยุคแห่งเทคโนโลยีข่าวสาร"  แต่ละยุคสมัยล้วนมีรูปแบบการแต่งกายที่เป็นของตนเองซึ่งไม่อาจสรุปได้ว่า แบบใดยุคใดจะดีกว่า หรือ ดีที่สุด เพราะวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรม ล้วนต้องมีการปรับเปลี่ยนบูรณาการไปตามสิ่งแวดล้อมของสังคมแล้วแต่สมาชิกของสังคมจะคัดสรรสิ่งที่พอเหมาะพอควรสำหรับตน พอควรแก่โอกาส สถานที่และกาลเทศะ






วัฒนธรรมการกินของคนไทย


วัฒนธรรมอาหารการกินของคนไทย
  
 สภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำลำคลองหลายสายไหลผ่าน 
จึงเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวชั้นเลิศแห่งหนึ่งของโลก ชีวิตคนไทยในอดีตล้วนผูกพันกับสายน้ำ อีกทั้งยังมี 
ชายฝั่งทะเลเหยียดยาวทั้งด้านอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน อันเป็นแหล่งอาหารประเภทปลานานาชนิด 
ซึ่งเป็นที่มาของคำพังเพยเปรียบเปรยถึงความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งอาหารการกินของไทยว่า 
"ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" 
 
 เมื่อสังคมไทยเริ่มติดต่อกับต่างประเทศ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ 
รวมทั้งด้านอาหารการกิน โดยได้รับรูปแบบอาหารบางชนิดมาปรับปรุง ดัดแปลงเป็นรสชาติแบบไทย 
ทำให้เกิดตำรับอาหารใหม่ ๆ มากมาย กลายเป็นที่นิยมแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ

ที่มา
วัฒนธรรมอาหารการกินของคนไทย

การไหว้


การไหว้ เป็นมารยาทไทยที่เป็นสืบทอดกันมาช้านาน การไหว้เป็นการแสดงถึงความมีสัมมาคารวะ และการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความหมายเพื่อการทักทาย การขอบคุณ การขอโทษ หรือการกล่าวลา โดยยกมือสองข้างประณม นิ้วชิดกัน ปลายนิ้วจรดกัน ยกมือขึ้นในระดับต่าง ๆ ตามฐานะของบุคคล และเมื่อมีผู้ทำความเคารพด้วยการไหว้ ให้ทำการรับไหว้ทุกครั้ง การรับไหว้ใช้ประณมมือแค่อก แล้วยกขึ้นเล็กน้อย ก้มศีรษะ
คำที่มักจะกล่าวในขณะที่ไหว้เพื่อทักทายหรือกล่าวลานั้นคือ คำว่า สวัสดี มาจาก พระยาอุปกิตศิลปสาร หรือ นิ่ม กาญจนาชีวะ ซึ่ง"สวัส" แปลว่าก้าวหน้า รวมแล้วจึงแปลว่า "ขอให้เจริญรุ่งเรือง"

ลิเก


ลิเก เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา หรือต้นกรุงรัตนโกสินทร์ คำว่า ลิเก เพี้ยนมาจากคำว่า ซิเกร์ ในภาษาเปอร์เซีย ที่ยืมมาจากคำว่า ซิกรุ (Zakhur) ในภาษาอาหรับ อันหมายถึงการอ่านบทสรรเสริญเป็นการรำลึกถึงอัลลอหฺพระเจ้าในศาสนาอิสลาม พระครูศรีมหาโพธิคณารักษ์ก็ได้กล่าวถึงลิเกไว้[1] ว่า พวกมุสลิมนิกายชีอะห์ หรือเจ้าเซ็นจากเปอร์เซีย นำสวดลิเกที่เรียกว่า ดิเกร์ เข้า มาในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย[2] กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ทรง บันทึกว่า ยี่เกนั้น เพี้ยนมาจาก จิเก
มีบันทึกว่า พวกแขกเจ้าเซ็นได้สวดถวายตัวในการบำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อ พ.ศ. 2423 ต่อมาคิดสวดแผลงเป็นลำนำต่าง ๆ คิดลูกหมดเข้าแกมสวด ร้องเป็นเพลงต่างภาษา และทำตัวหนังเชิด โดยเอารำมะนาเป็นจอก็มี ลิเกจึงกลายเป็นการเล่นขึ้น ต่อมามีผู้คิดเล่นลิเกอย่างละคร คือ เริ่มร้องเพลงแขก แล้วต่อไปเล่นอย่างละครรำ และใช้ปี่พาทย์อย่างละคร

ชนิดของลิเก

  1. ลิเกบันตน เริ่มด้วยร้องเพลงบันตน(เพี้ยนจาก ปันตน)เป็นภาษามลายู ต่อมาก็แทรกคำไทยเข้าไปบ้าง ดนตรีก็ใช้รำมะนา จากนั้นก็แสดงเป็นชุด ๆ ต่างภาษา เช่น แขก ลาว มอญ พม่า ต้องเริ่มด้วยชุดแขกเสมอ ผู้แสดงแต่งตัวเป็นชาติต่าง ๆ ร้องเอง พวกตีรำมะนาเป็นลูกคู่ มีการร้องเพลงบันตนแทรกระหว่างการแสดงแต่ละชุด
  2. ลิเกลูกบท คือ การแสดงผสมกับการขับร้องและบรรเลงเพลงลูกบท ร้องและรำไปตามกระบวนเพลง ใช้ปี่พาทย์ประกอบแทนรำมะนา แต่งกายตามที่นิยมในสมัยนั้นๆ แต่สีฉูดฉาด ผู้แสดงเป็นชายล้วน เมื่อแสดงหมดแต่ละชุด ปี่พาทย์จะบรรเลงเพลง 3 ชั้นที่เป็นแม่บทขึ้นอีก และออกลูกหมดเป็นภาษาต่าง ๆ ชุดอื่น ๆ ต่อไปใหม่
  3. ลิเกทรงเครื่อง เป็นการผสมผสาน ระหว่างลิเกบันตนและลิเกลูกบท มีท่ารำเป็นแบบแผน แต่งตัวคล้ายละครรำ แสดงเป็นเรื่องยาวๆ อย่างละคร เริ่มด้วยโหมโรงและบรรเลงเพลงภาษาต่างๆ เรียกว่า "ออกภาษา" หรือ "ออกสิบสองภาษา" เพลงสุดท้ายเป็นเพลงแขก พอปี่พาทย์หยุด พวกตีรำมะนาก็ร้องเพลงบันตน แล้วแสดงชุดแขก เป็นการคำนับครู ใช้ปี่พาทย์รับ ต่อจากนั้นก็แสดงตามเนื้อเรื่อง ลิเกที่แสดงในปัจจุบันเป็นลิเกทรงเครื่อง
  4. ลิเกป่า เป็นศิลปะการแสดงที่เคยได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและ จังหวัดทางภาคใต้ทั่ว ๆ ไป แต่ในปัจจุบันลิเกป่ามีเหลืออยู่น้อยมาก ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า เดิมลิเกป่าจะมีแสดง ให้ดูทุกงาน ไม่ว่าจะเป็นบวชนาค งานวัด หรืองานศพ ลิเกป่ามีเครื่องดนตรีประกอบการแสดง 3 อย่าง คือ กลองรำมะนา 1-2 ใบ ฉิ่ง 1 คู่ กรับ 1 คู่ บางคณะอาจจะมีโหม่ง และทับด้วย ลิเกป่ามีนายโรงเช่นเดีวกับหนังตะลุง และมโนราห์ และโร สำหรับการแสดงก็คล้ายกับโรงมโนราห์ ผู้แสดงลิเกป่า คณะหนี่งมีประมาณ 6-8 คน ถ้ารวมลูกคู่ด้วยก็จะมีจำนวนคนพอ ๆ กับมโนราห์หนึ่งคณะ การแสดงจะเริ่มด้วยการโหมโรง "เกริ่นวง" ต่อจากเกริ่นวงแขกขาวกับแขกแดงจะออกมาเต้นและร้องประกอบ โดยลูกคู่จะรับไปด้วย หลังจากนั้นจะมีผู้ออกมาบอกเรื่อง แล้วก็จะเริ่มแสดงเลย


โขน



โขน-ไม่น่าจะมีกำเนิดมาจากการละเล่นอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว(อย่างที่เคยอธิบายกันสืบมาว่าโขนมีกำเนิดมาจากชักนาคดึกดำบรรพ์ หรือโขนมีกำเนิดมาจากหนัง เป็นต้น) แต่โขนควรเป็นการละเล่นซึ่งก่อรูปขึ้นมาจากประเพณีหลายๆ อย่างที่มีอยู่ก่อนแล้วคือหนัง ระบำ รำเต้น ชักนาคดึกดำบรรพ์ และ ฯลฯ ให้รวมเข้าด้วยกันแล้วกลายเป็นสิ่งใหม่เรียกชื่อว่า"โขน"
         แม้บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จะยกย่องชื่อ "ทวารวดี"จากมหากาพย์รามายณะและมหาภารตะมาเป็นชื่อบ้านเมืองและแว่นแคว้น แต่ก็มิได้หมายความว่าชนชั้นสูงยกย่องศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูไว้สูงสุด เพราะพุทธศาสนามีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
 
         แท้จริงแล้วทั้งพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูมีบทบาทสำคัญประสมประสานอยู่ด้วยกันดังกรณีเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีและเมืองละโว้ จังหวัดลพบุรี ล้วนมีศาสนวัตถุสถานที่เนื่องในพุทธและพราหมณ์อยู่พร้อมๆ กันมาตั้งแต่ยุคแรกรับแบบแผนจากอินเดีย และยังมีระบบความเชื่อดั้งเดิมคือผีอยู่ด้วย
 
         เมื่อมีระบบความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาย่อมเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่ผู้เป็นใหญ่ในสังคมนั้นๆ จะต้องจัดให้มีการละเล่นเพื่อเสริมความขลังและศักดิ์สิทธิ์ ให้ระบบความเชื่อนั้นๆ เพราะฉะนั้นบ้านเมืองที่ยกย่องคติรามายณะ ก็ควรจะมีการละเล่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องรามเกียรติ์ (ถือเป็นชื่อพื้นเมือง) แม้ว่าระบบความเชื่อในยุคแรกๆ จะยังปะปนกันระหว่างพุทธกับพราหมณ์ (หรือจะเรียกฮินดูก็ตามที) และผี แต่ลักษณะผสมดังกล่าวก็มิได้เป็นอุปสรรคที่จะจัดให้มีการละเล่น

         น่าเชื่อว่ามีการละเล่นที่เกี่ยวข้องกับระบบความเชื่อ เช่น รามเกียรติ์หรือมหาภารตะเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วตั้งแต่ยุคทวารวดี เพราะชื่อบ้านเมืองว่าทวารวดีมีความศักดิ์สิทธิ์มาจากมหากาพย์ 2 เรื่องนี้
         แต่ก็น่าเสียดาย เพราะยังไม่พบหลักฐานเกี่ยวกับการละเล่นดังกล่าว ที่พอจะเห็นร่องรอยความต่อเนื่องบ้างก็คือความเชื่อตามคติ 
"จักรพรรดิราช" ในราชสำนักเขมร ซึ่งแสดงออกในพระราชพิธี "อินทราภิเษก" เช่น สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2
(พ.ศ.1656-หลัง พ.ศ.1688 และเชื่อว่าพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เกี่ยวดองเป็นวงศ์ญาติกับกษัตริย์ราชวงศ์มหิธรปุระแห่งลุ่มน้ำมูลละแวกพิมาย-พนมรุ้งในเขตอีสานใต้)
 

การชักนาคกวนน้ำอมฤตหรือกวนเกษียรสมุทรน่าจะเป็นการละเล่นมหึมาอยู่ในราชสำนักพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เพราะมีภาพสลักเรื่องนี้อยู่ที่ปราสาทนครวัด และมีความสืบเนื่องมาเป็นการละเล่นอยู่ในราชสำนักสยามในลุ่มน้ำเจ้าพระยาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งตราไว้ในกฎมณเฑียรบาลชื่อ "ชักนาคดึกดำบรรพ์"ในพระราชพิธีอินทราภิเษกซึ่งยกย่องว่าเป็นแบบแผนที่พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยายุคแรกๆ จัดให้มีขึ้น

         หลังสถาปนากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ.1893 แล้ว พระราชพิธีอินทราภิเษก ที่มีการละเล่นเกี่ยวข้องกับชักนาคดึกดำบรรพ์มิได้จัดให้มีขึ้นทุกรัชกาล เท่าที่มีบันทึกอยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาจะมีประมาณ 3 ครั้ง คือในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ครั้งหนึ่ง ในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิครั้งหนึ่ง และในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททองอีกครั้งหนึ่ง (ความจริงอาจมีมากกว่านี้ แต่ก็ไม่ทุกรัชกาล)

         หลังแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแล้วไม่พบร่องรอยการละเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์อีกเลย แต่มีชื่อ 
"โขน" เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
         เรื่องที่เล่นโขนมาจากรามายณะของอินเดีย เมื่อไทยรับรามายณะฉบับทมิฬ-อินเดียใต้มาแล้วจึงเรียกภายหลังว่ารามเกียรติ์

    โขน-เป็นการละเล่นที่ค่อยๆ ก่อรูปขึ้นช่วงใดช่วงหนึ่งระหว่างแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พ.ศ.2034-2072) กับแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.2172-2199) เพราะเมื่อถึงแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ โขนที่เคยศักดิ์สิทธิ์อยู่ในราชสำนักก็กลายเป็นมหรสพเล่นอยู่ในโรงเพื่อต้อนรับอัครราชทูตลาลูแบร์เรียบร้อยแล้ว
 




หนังตะลุง


หนังตะลุง คือ ศิลปะการแสดงประจำท้องถิ่นอย่างหนึ่งของภาคใต้ เป็นการเล่าเรื่องราวที่ผูกร้อยเป็นนิยาย ดำเนินเรื่องด้วยบทร้อยกรองที่ขับร้องเป็นสำเนียงท้องถิ่น หรือที่เรียกกันว่าการ "ว่าบท" มีบทสนทนาแทรกเป็นระยะ และใช้การแสดงเงาบนจอผ้าเป็นสิ่งดึงดูดสายตาของผู้ชม ซึ่งการว่าบท การสนทนา และการแสดงเงานี้ 25นายหนังตะลุงเป็นคนแสดงเองทั้งหมด
หนังตะลุงเป็นมหรสพที่นิยมแพร่หลายอย่างยิ่งมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในยุคสมัยก่อนที่จะมีไฟฟ้าใช้กันทั่วถึงทุกหมู่บ้านอย่างในปัจจุบัน หนังตะลุงแสดงได้ทั้งในงานบุญและงานศพ ดังนั้นงานวัด งานศพ หรืองานเฉลิมฉลองที่สำคัญจึงมักมีหนังตะลุงมาแสดงให้ชมด้วยเสมอ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป หนังตะลุงกลับกลายเป็นความบันเทิงที่ต้องจัดหามาในราคาที่ "แพงและยุ่งยากกว่า" เมื่อเทียบกับภาพยนตร์ เพราะการจ้างหนังตะลุงมาแสดง เจ้าภาพต้องจัดทำโรงหนังเตรียมไว้ให้ และเพราะหนังตะลุงต้องใช้แรงงานคน (และฝีมือ) มากกว่าการฉายภาพยนตร์ ค่าจ้างต่อคืนจึงแพงกว่า ยุคที่การฉายภาพยนตร์เฟื่องฟู หนังตะลุงและการแสดงท้องถิ่นอื่นๆ เช่น มโนราห์ รองแง็ง ฯลฯ ก็ซบเซาลง ยิ่งเมื่อเข้าสู่ยุคที่ทุกบ้านมีโทรทัศน์ดู ละครโทรทัศน์จึงเป็นความบันเทิงราคาถูกและสะดวกสบาย ที่มาแย่งความสนใจไปจากศิลปะพื้นบ้านเสียเกือบหมด
ปัจจุบัน โครงการศิลปินแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้ส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์และสืบทอดศิลปะการแสดงหนังตะลุงให้แก่อนุชนรุ่นหลัง เพื่อรักษามรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่านี้ให้คงอยู่สืบไป

การเคารพพระสงฆ์

การเคารพพระสงฆ์
ศาสนาเป็นสถาบันสำคัญยิ่งสำหรับชนในชาติเพราะคำสอนของศาสดาย่อมเป็นหลักทางทางใจ และเป็นแนวดำเนินชีวิตให้อยู่ในทำนองคลองทำ เพื่อความสุขสงบของชนในชาติ คนไทยได้ชื่อว่าเป็นชาติที่มีใจนับถือมั่นอยู่ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และปฏิบัติตามศาสนาประเพณีตลอดปีมิได้ขาด

การเคารพพระพุทธรูปซึ่งสมมุติเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ และเคารพพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า

๑.นั่งคุกเข่ากระหย่งเท้าพนมมือยกขึ้นระหว่างคิ้วปลายนิ้วจรดไรผมแล้วกราบแบมือราบกับพื้น๓ครั้งให้หน้าผากจรดพื้นระหว่างมือที่แบราบ เมื่อจบแล้วพนมมือขึ้นเหนือคิ้วอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า กราบในท่าเบญจางคประดิษฐ์

๒. การกราบทั้งสามครั้งนี้มีความหมายดังนี้
การกราบครั้งที่ ๑ กราบเพื่อระลึกถึงองค์พระพุทธเจ้า
การกราบครั้งที่ ๒ กราบพระธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ผู้หญิงนั่งพับเพียบพนมมือระหว่างคิ้ว หมอบกราบแบมือทั้งสองข้างลงกับพื้น ๓ ครั้ง

๔. ถ้าเห็นพระสงฆ์ในเวลาที่เรายืนอยู่นอกสถานบ้านเรือนจะย่อเข่าลงหรือไหว้ก็ได้แต่ให้ปลายนิ้วมือจรดที่ตีนผม

๕. การถวายของพระ
ชาย ถวายได้โดยตรงต่อมือพระสงฆ์ท่านเลยคุกเข่ากราบแบมือครั้งเดียว
หญิง ต้องคอยให้ท่านปูผ้าชิ้นเล็กที่เรียกว่า ผ้ากราบ เพื่อรับเสียก่อนจึงว่างถวายลงบนผ้านั้นเมื่อถวายแล้วกราบอีกครั้ง โดยหมอบกราบแบมือครั้งเดียว

๖. การตักบาตร ถ้ารองเท้าไม่สุภาพควรถอดรองเท้าถ้าใช้เครื่องแบบหรือแต่งตัวแบบสากลไม่ต้องถอดก็ได้หยิบของลงในบาตรพระด้วยความระมัดระวัง วางทีละชิ้นโดยใส่ข้าวก่อนเสมอ

๗. ผู้หญิงไปหาพระสงฆ์ต้องนั่งพับเพียบให้เรียบร้อยไม่ควรอยู่ตามลำพังกับพระสงฆ์ต้องมีบุรุษนั่งอยู่ด้วยจึงจะถูกตามวินัยสงฆ์

๘. การพูดกับพระสงฆ์ต้องมีสำมาคารวะไม่พูดเล่นพล่อย ๆ ซึ่งฟังดูเป็นการขาดความเคารพต่อพระสงฆ์

๙. ผู้หญิงห้ามแตะตัวพระแม้แต่ชายผ้าสบงหรือจีวรที่ท่านนุ่งห่มอยู่ก็ไม่ได้

๑๐. ไม่หยิบของที่เตรียมไว้ตักบาตรมารับประทาน

๑๑. ไม่จำเป็นจะต้องรับประทานอาหารที่นำมาเลี้ยงหน้าศพ ต่อหน้าพระสงฆ์ที่นั่งอยู่ในพิธี

๑๒. กุลสตรีไม่ควรแต่งตัวไม่สุภาพไปวัด เช่น นุ่งกางเกงขาสั้น ถือว่าเป็นการไม่รู้จักกาละเทศะ

๑๓. ไม่สรวลเสเฮฮาในวัดควรสงบและสำรวมอิริยาบถ

๑๔. ถ้าจะถวายปัจจัยแด่พระสงฆ์ควรเขียนจำนวนลงในใบปวารนาบัตรใส่ซองถวาย






การกราบ

การกราบ

การกราบ(อภิวาท) เป็นการแสดงความเคารพด้วย
วิธีนั่งประนมมือขึ้นเสมอหน้าผากแล้วน้อมศีรษะลงจรดพื้นหรือจรดมือ ณ ที่ใดที่หนึ่ง
แล้วน้อมศีรษะลงบนมือนั้น เช่น กราบลงบนตักก็อนุโลมถือว่าเป็นกราบ
ถ้าหมอบแล้วน้อมศีรษะจรดมือที่ประนมถึงพื้นเรียกว่า หมอบกราบ
การกราบมี 2 ลักษณะ คือ การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ และการกราบผู้ใหญ่

3.1 การกราบเบญจางคประดิษฐ์ 
ใช้กราบพระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระ ธรรม พระสงฆ์
การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ หมายถึง การที่ให้อวัยวะทั้ง 5 คือ เข่าทั้ง 2 มือทั้ง 2 และหน้าผากจรดพื้น
การกราบจะมี 3 จังหวะ และจะต้องนั่งอยู่ในท่าเตรียมกราบ





ท่าเตรียมกราบ

    * ชาย นั่งคุกเข่าปลายเท้าตั้ง นั่ง บนส้นเท้า มือทั้งสองวางบนหน้าขาทั้ง สองข้าง (ท่าเทพบุตร)

    * หญิง นั่งคุกเข่าปลาย เท้าราบ นั่งบนส้นเท้า มือทั้งสองวางบน หน้าขาทั้งสองข้าง (ท่าเทพธิดา)

    * จังหวะ ที่ 1 ( อัญชลี) ยกมือขึ้นประนมระหว่างอก ปลายนิ้วชิดกันตั้งขึ้นแนบตัวไม่กางศอก 









 * จังหวะที่ 2 (วันนา) ยกมือขึ้น พร้อมกับก้มศีรษะ โดยให้ปลายนิ้วชี้จรดหน้า ผาก 






   * จังหวะที่ 3 (อภิวาท) ทอดมือลง กราบ ให้มือและแขนทั้งสองข้างลงพร้อมกัน มือคว่ำห่างกันเล็กน้อยพอให้หน้าผากจรด พื้นระหว่างมือได้ 






 * ชาย ให้กางศอกทั้งสอง ข้างลง ต่อจากเข่าขนานไปกับพื้น หลังไม่ โก่ง

    * หญิง ให้ศอกทั้งสองข้างคร่อมเข่าเล็ก น้อย

        ทำสามจังหวะให้ครบสามครั้ง แล้วยก มือขึ้นจบโดยให้ปลายนิ้วชี้จรดหน้าผาก แล้วปล่อยมือลง การกราบไม่ควรให้ช้าหรือ เร็วเกินไป





                                                              การกราบ

การออกบวช

การออกบวช

การพรรณนาอานิสงส์ของการออกบวช ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญ
ประการหนึ่งที่พระพุทธเจ้าแสดงอนุปุพพิกถา (อนุปุพพิกถา คือ
เทศนาที่แสดงไปโดยลำดับ เพื่อฟอกอัธยาศัยของสัตว์ให้หมดจด
เป็นชั้นๆ จากง่ายไปหายาก เพื่อเตรียมจิตของผู้ฟังให้พร้อมที่จะ
รับฟังอริยสัจ มี ๕ คือ  ๑. ทานกถา พรรณาทาน  ๒. สีลกถา
พรรณาศีล  ๓. สัคคกถา พรรณาสวรรค์ คือ ความสุขที่พรั่งพร้อม
ด้วยกาม  ๔. กามาทีนวกถา พรรณาโทษของกาม 
๕. เนกขัมมานิสังสกถา พรรณนาอานิสงส์แห่งการออกจากกาม -
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์) เพื่อฟอกจิตของผู้ฟัง
ให้สูงขึ้นตามลำดับ กล่าวคือ เมื่อบุคคลให้ทานและรู้จักการรักษาศีล
ก็เป็นเหตุให้เกิดในสวรรค์ได้ เมื่อเกิดในสวรรค์ ซึ่งบางท่านก็ยังติดอยู่
ในกาม อันไม่ใช่ทางแห่งความพ้นทุกข์ พระองค์ก็ทรงชี้ให้เห็นว่า
กามก็มีโทษทุกข์นานัปการ เพราะฉะนั้น จะต้องออกบวช
เพื่อหาทางแห่งความพ้นทุกข์ในที่สุดได้

คำว่า 'บวช' หรือ การบวช นั้น ภาษาบาลีใช้คำว่า ปพฺพชฺชา 
ไทยเรียกว่า บรรพชา แปลว่า การบวช ถ้าเชื้อพระวงศ์ออกบวช
เรียกว่า 'ทรงผนวช' ไม่ได้ใช้คำว่าบวชเฉยๆ ในสมัยก่อนโน้น เขาเรียก
การบวชว่าบรรพชาอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้ใช้คำว่า อุปสมบท
เพราะคำว่า อุปสมบท เกิดทีหลังคำว่าบรรพชา

+ + + + +

ความหมายของคำว่าบรรพชา

บรรพชาก็คือการบวช ความหมายของบรรพชาศัพท์ก็คือ
'การงดเว้น' บรรพชานี้แปลว่า การเว้น หรือ การงดเว้น
เว้นในที่นี้ หมายถึงการเว้น ๓ ประการ คือ

(๑)
เว้นจากบาป เว้นจากสิ่งที่ชั่วร้าย
เว้นจากสิ่งที่ทำจิตของเราให้ตกต่ำ

(๒)
เว้นจากสิ่งที่กันจิตของเราไม่ให้ขึ้นสู่ระดับสูง
(๓)
เว้นจากสิ่งที่ไม่เหมาะไม่สมกับนักบวช

การเว้นข้อที่ ๑ - คือ เว้นจากบาป
เว้นจากความชั่ว อันความชั่วต่างๆ นั้น นักบวชจะต้องเว้น
เว้นด้วยการมีศีล เช่น มีศีล ๕ ก็คือ เว้นจากชั่วแล้ว สิ่งใดที่ชั่ว
ที่ทำให้ใจตกต่ำ ทำให้เกิดในอบาย เช่นทำให้เกิดในนรก
ให้เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ผู้บวชจะต้องเว้น ถ้าบวชเข้ามาไม่เว้น
แม้บวชก็เหมือนกับไม่บวช เพราะไม่ได้เว้นจากความชั่ว
หรือจากสิ่งที่ทำใจของเราให้ต่ำลง …

การเว้นข้อที่ ๒ - เว้นจากสิ่งที่กันจิตของตนไม่ให้ขึ้นสู่ระดับสูง
คือ สิ่งใดที่กันใจของตนไม่ให้ขึ้นสู่ระดับสูง แม้ทำแล้วไม่บาป
แต่นักบวชก็ต้องเว้นเหมือนกัน อย่างรับประทานอาหารในตอนเย็น
ที่จริงไม่ได้บาปเพราะชาวโลกทั้งหลายเขาก็รับประทานกัน
แต่นักบวชต้องเว้นเพราะสิ่งนี้กันจิตไม่ให้ขึ้นสู่ระดับสูง ระดับสมาธิได้เพราะว่าอาหารทำให้เกิดราคะได้ง่าย ทำให้นอนหลับมาก ง่วงง่าย
กินมากก็ง่วงง่าย หรือการฟ้อนรำขับร้องประโคมเครื่องดนตรีต่างๆ
นอนเหนือที่นั่งที่นอนที่สูงใหญ่ สิ่งเหล่านี้มันยั่วกิเลส ทำให้เกิดกิเลส
ได้ง่าย ทำให้ใจฟุ้งซ่านได้ง่าย หรือกิเลสประเภทนิวรณ์ เช่น
ความรักใคร่ในทางกาม การผูกพยาบาท การท้อแท้ขี้เกียจ
หรือความฟุ้งซ่านรำคาญ ก็พยายามเว้นสิ่งเหล่านั้นเสีย
เพราะมันกันจิตของเราไม่ให้ขึ้นสู่ระดับสูง นักบวชหรือผู้บวช
จำเป็นต้องหาอุบาย เพื่อละเว้น งดเว้น ให้ไกลจากสิ่งเหล่านี้ให้ได้

การเว้นข้อที่ ๓ - เว้นจากสิ่งที่ไม่เหมาะไม่สมกับนักบวช
เช่น การวิ่ง การเล่นการพนัน การกระโดดโลดเต้น การเล่นกีฬา
ก็ถือว่าไม่เหมาะกับนักบวช ที่จริงก็ไม่ได้บาปอะไร แต่ไม่เหมาะ
กับนักบวช …


วัฒนธรรมไทย


วัฒนธรรม โดยทั่วไปหมายถึง รูปแบบของกิจกรรมมนุษย์และโครงสร้างเชิงสัญลักษณ์ที่ทำให้กิจกรรมนั้นเด่นชัดและมีความสำคัญ วิถีการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นพฤติกรรมและสิ่งที่คนในหมู่ผลิตสร้างขึ้น ด้วยการเรียนรู้จากกันและกัน และร่วมใช้อยู่ในหมู่พวกของตน
วัฒนธรรมส่วนหนึ่งสามารถแสดงออกผ่าน ดนตรี วรรณกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม การละครและภาพยนตร์ แม้บางครั้งอาจมีผู้กล่าวว่าวัฒนธรรมคือเรื่องที่ว่าด้วยการบริโภคและสินค้าบริโภค เช่น วัฒนธรรมระดับสูง วัฒนธรรมระดับต่ำ วัฒนธรรมพื้นบ้าน หรือวัฒนธรรมนิยม เป็นต้น แต่นักมานุษยวิทยาโดยทั่วไปมักกล่าวถึงวัฒนธรรมว่า มิได้เป็นเพียงสินค้าบริโภค แต่หมายรวมถึงกระบวนการในการผลิตสินค้าและการให้ความหมายแก่สินค้านั้น ๆ ด้วย ทั้งยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ทางสังคมและแนวการปฏิบัติที่ทำให้วัตถุและกระบวนการผลิตหลอมรวมอยู่ด้วยกัน ในสายตาของนักมานุษยวิทยาจึงรวมไปถึงเทคโนโลยีศิลปะ วิทยาศาสตร์รวมทั้งระบบศีลธรรม
วัฒนธรรมในภูมิภาคต่าง ๆ อาจได้รับอิทธิพลจากการติดต่อกับภูมิภาคอื่น เช่น การเป็นอาณานิคม การค้าขาย การย้ายถิ่นฐาน การสื่อสารมวลชนและศาสนา อีกทั้งระบบความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนามีบทบาทในวัฒนธรรมในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมาโดยตลอด

ประเภทของวัฒนธรรม

วัฒนธรรม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
  • วัฒนธรรมทางวัตถุ คือ เครื่องมือ เครื่องใช้ ที่มนุษย์ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อความสุขทางกาย อันได้แก่ ยานพาหนะ ที่อยู่อาศัย ตลอดจนเครื่องป้องกันตัวให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง
  • วัฒนธรรมทางจิตใจ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์ เพื่อให้เกิดปัญญาและมีจิตใจที่งดงาม อันได้แก่ ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม คติธรรม ตลอดจนศิลปะ วรรณคดี และระเบียบแบบแผนของขนบธรรมเนียมประเพณี[1]
นักมานุษยวิทยาส่วนใหญ่มักใช้คำ "วัฒนธรรม" ไปในเชิงของวิสัยสามารถของคนทั่วไปในการบ่งชี้ จัดหมวดหมู่และสื่อถึงประสบการณ์ของตนในลักษณะเชิงสัญลักษณ์ คนเราใช้วิสัยสามารถดังกล่าวสำหรับบ่งชี้เรื่องราวและสิ่งต่างๆ ที่เกิดในหมู่มนุษย์ด้วยกันมานานมากแล้ว อย่างไรก็ตาม นักวานรวิทยาหรือไพรเมตวิทยาก็ได้บ่งชี้ลักษณะวัฒนธรรมดังกล่าวในวานรหรือไพรเมตซึ่งเป็นกลุ่มสัตว์ที่มีสายพันธุ์ใกล้ชิดกับมนุษย์มากที่สุดมานานแล้วเช่นกัน[2]และโดยนักโบราณคดีจะมุ่งเฉพาะไปที่วัฒนธรรมที่เป็นเรื่องราวเท่านั้น (ซากเรื่องราวที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์) ขณะเดียวกัน นักมานุษยวิทยาสังคมก็มองไปที่ปฏิสัมพันธ์ของสังคม สถานภาพและสถาบัน ส่วนนักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมก็เน้นที่บรรทัดฐานและคุณค่า
การแบ่งแยกแนวกันนี้ แสดงให้เห็นถึงเงื่อนไขที่แตกต่างกันที่ขึ้นอยู่กับงานที่ต่างกันของนักมานุษยวิทยา และความจำเป็นที่จะต้องมุ่งเน้นจุดการวิจัยที่ต้องชัดเจน จึงไม่จำเป็นว่าจะเป็นการสะท้อนถึงทฤษฎีของวัฒนธรรมซึ่งย่อมแตกต่างไปตามเชิงของเรื่องราว เชิงสังคม และเชิงบรรทัดฐาน (norm) รวมทั้ง ไม่จำเป็นต้องสะท้อนถึงการแข่งขันกันเองในระหว่างทฤษฎีต่าง ๆ ของวัฒนธรรม